green and brown plant on water

การใช้งานญาณเเปดเพื่ออริยะจิต

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันอาทิตย์ที่ 21  กันยายน 2568

เรื่อง การใช้งานญาณเเปดเพื่ออริยะจิต

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วน ปลดปล่อยกำลังทั้งหลายออกไปจากใจของเรา ความรู้สึกที่เกาะเกี่ยว ผัสสะ ความรู้สึกที่ยังเนื่องเชื่อมโยงกับร่างกายขันธ์ 5  เราปล่อยวางออกไปให้หมด ผ่อนคลายเพื่อปล่อยวางตัดร่างกายขันธ์ 5 ปล่อยวางจนเข้าถึงความสงบของจิต ทรงสภาวะความสงบจากการปล่อยวาง

จากนั้นกำหนด หยุดจิต นิ่งหยุด หยุดจิต หยุดความคิด อยู่กับความสงบนิ่ง เมื่อจิตสงบนิ่งแล้ว ลำดับต่อไปก็เดินจิตเข้าสู่สมถะในกสิณ กำหนดน้อมนึกเชื่อมโยงให้จิตของเราเป็นหนึ่งเดียวกับนิมิตของกสิณ จิตเป็นดวงแก้วสว่างประภัสสร มีความสว่างไสว จิตขยายขนาดใหญ่ขึ้นสว่างขึ้นใสขึ้น จากอุคคหนิมิตปรับสภาวะให้จิตนั้นกลายเป็นเพชรระยิบระยับ มีเส้นแสงรัศมีของจิต มีอาณาบริเวณบรรยากาศแห่งความเป็นทิพย์พร่างพรายรายรอบ เลยพ้นออกมาจากเส้นแสงรัศมีของจิต ทรงสภาวะที่จิตประภัสสรพร้อมกับเข้าถึงอารมณ์จิตที่เชื่อมโยงกับนิมิต ยิ่งสว่างผ่องใส จิตยิ่งเป็นสุข ยิ่งเอิบอิ่มเบิกบาน ทรงสภาวะที่จิตประภัสสรสว่างไสวเป็นประกายพรึกสูงสุดนั้น ทรงอารมณ์พร้อมกับทรงภาพนิมิต ทั้งภาพและอารมณ์พระกรรมฐานตั้งมั่นเชื่อมโยง มีความเสถียรภาพ ไม่หวั่นไหว ไม่วูบวาบ ฝึกทรงอารมณ์สมาบัติให้มีความตั้งมั่น มีความเสถียร ทรงสภาวะแห่งจิตอันเป็นสุขจิตอันประภัสสรไว้ ใจยิ้มจิตยิ้ม จิตผ่องใส นิมิตสว่าง

กำหนดให้รัศมีของจิตและอารมณ์จิตที่เป็นสุขนั้นเป็นกระแส เป็นคลื่น เป็นกำลังแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณ ทำความรู้สึกว่ากระแสความสว่างความสุขที่ผ่านไปจากจิตอันประภัสสร เป็นกระแสแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณ พลังงานที่แผ่สว่างจากจิต เป็นกำลังของเมตตาอัปปันนาณฌาน ทรงสภาวะที่จิตเปล่งประกายความสว่างความผ่องใส กระแสแห่งความเมตตาสงบร่มเย็น จิตยิ่งขยายทั้งขนาดทั้งความสว่าง ทั้งคลื่นกระแสแห่งเมตตา จนกระทั่งดวงจิตขยายใหญ่ขึ้นจนครอบคลุมจักรวาลทั้งหมด แสงสว่างแห่งเมตตาความผ่องใส สว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ทั้งหลายทั่วจักรวาลมารวมกัน แผ่เมตตาสว่าง จิตยิ่งมีกำลัง มีความสว่าง มีความสุข

เมื่อจิตของเรามีกำลังมีความตั้งมั่น ทรงสภาวะทรงอารมณ์ได้อย่างเสถียร จิตตานุภาพของจิตถูกเพาะบ่มสะสมเป็นกำลังบุญ เป็นกำลังบารมี เป็นกำลังแห่งฌานสมาบัติ เป็นกำลังแห่งอภิญญาจิต เราก็กำหนดต่อไป เดินจิตเข้าสู่พุทธานุสสติ น้อมรำลึกถึงพระพุทธเจ้า กำหนดนอบน้อมด้วยจิตที่ถ่อมใจลงถ่อมตัวลง ว่าคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระอรหันต์พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ฌานสมาบัติก็ดี กำลังของเราก็ดี จะมีมากเพียงใด แต่ก็อาจที่จะไม่สามารถจะไปเทียบเคียงกับกำลังของพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพได้ เมื่อเราน้อมจิตเช่นนี้แล้ว เราก็ขอน้อมนำพระรัตนตรัยเป็นสรณะเป็นที่พึ่งสูงสุด กำหนดอธิษฐานจิต ขอภาพพุทธนิมิตรองค์พระสว่างไสว ปรากฏเป็นเพชรระยิบระยับสว่างทั้งองค์ชัดเจน ทรงสภาวะ จากนั้นก็กำหนดต่อไป ว่าองค์พระใหญ่คลุมจักรวาลทั้งหมด พระพุทธองค์ทรงเสด็จมาปรากฏเป็นพุทธานุภาพพุทธบารมี จากนั้นจิตของเราที่ใหญ่สว่างจนคลุมจักรวาลทั้งหมดนั้นก็กลับกลายเป็นประหนึ่งแสงของหิ่งห้อยน้อยค่อยๆลอย เคลื่อนคล้อยลงไปอยู่ที่ฝ่ามือของพระพุทธองค์

กำหนดน้อมจิตด้วยความนอบน้อมแสงสว่างของจิตเราสว่างไสวเพียงใด ก็เหมือนกับเพียงแสงหิ่งห้อยเมื่อเทียบกับพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้า ยิ่งนอบน้อมเท่าไหร่ เคารพรักในพระพุทธเจ้ามากเท่าไหร่ กำลังของพุทธานุภาพที่จะมาประสิทธิ์ประสาทเกิดผลเป็นกำลังของญาณ กำลังของมโนมยิทธิ ย่อมเพิ่มพูนขึ้นมากกว่าบุคคลที่มีจิตหยาบกระด้างจิตมีมานะ กำหนดน้อมว่าจิตของเรานอบน้อมต่อพระพุทธองค์

จากนั้นขอบารมีพระพุทธเจ้ายกจิตของเราพุ่งขึ้นไปยังพระนิพพานอยู่เบื้องหน้ามหาสมาคม มีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน กำหนดอธิษฐานจากดวงจิต ขอจงปรากฏเป็นกายพระวิสุทธิเทพกราบทุกท่านทุกๆพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมเด็จองค์ปฐมบนพระนิพพาน

เมื่อกราบสมเด็จองค์ปฐมแล้ว ลำดับต่อไปเราก็ตั้งจิตอธิษฐาน เจริญพระกรรมฐานอยู่ท่ามกลางมหาสมาคม มีพุทธบารมีพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้าของสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน อธิษฐานจิต ขอกายพระวิสุทธิเทพจงปรากฏ นั่งขัดสมาธิบนรัตนบัลลังก์ดอกบัวแก้ว ขอจงปรากฏดอกบัวแก้วเป็นอาสนะบัลลังก์ อันประกอบด้วยบุญกุศล โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอให้แรงพระกรรมฐาน กำลังพระกรรมฐานที่เราได้สร้างเจริญไว้ดีแล้ว เพาะบ่มมาตั้งแต่อดีตชาติ กรรมฐานทั้ง 40 กอง ฌานสมาบัติทั้งหลาย ตั้งแต่ฌานสมาบัติที่ 1 จนถึงสมาบัติ 8 การเจริญวิปัสสนาญาณทั้งหมด ขอจงเป็นกำลังพระกรรมฐานรวมตัวที่รัตนบัลลังก์ดอกบัวแก้วนี้ ให้จิตข้าพเจ้าพอรู้ตื่นเบิกบาน ก้าวหน้าเจริญในธรรมขององค์สมเด็จจอมไตรศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเถิด

จากนั้นทำความรู้สึกว่ากายพระวิสุทธิเทพเรานั่งขัดสมาธิสัมผัสรู้สึกถึงได้ว่ากระแสกำลังแห่งพระกรรมฐานที่สะสมรวมตัวบนดอกบัวแก้วที่เรานั่ง เป็นกระแสไหลซึมซาบขึ้นมายังกายทิพย์ กายยิ่งสว่างขึ้นใสขึ้น จิตยิ่งผ่องใสขึ้น ปัญญาญาณในการพิจารณาในการตัดอาสวะกิเลสทั้งหลาย กระจ่างแจ้ง

จากนั้นเริ่มพิจารณา วันนี้เรากำหนดจิตพิจารณาในเรื่องของญาณทั้งแปด

ญาณแปลว่าเครื่องรู้ เครื่องรู้นี้เป็นเครื่องรู้ของจิต กำหนดพิจารณาสภาวะในขณะที่ญาณเครื่องรู้ปรากฏขึ้น อารมณ์ที่มันรู้ขึ้น มันรู้ด้วยจิต รู้ด้วยความเป็นทิพย์ ความรู้นั้นผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ผ่านความคิดหรือสิ่งที่เป็นความทรงจำจากสมอง แต่เป็นเหมือนกับภาพ เป็นเหมือนกับความรู้ที่ปรากฏขึ้นรู้ขึ้นมาเองในจิต ไม่ได้ผ่านมาจากผัสสะทางอายตนะทั้งหลาย ดังนั้นอาการของญาณเครื่องรู้นั้นจะเป็นการที่เกิดลักษณะของการผุดรู้ขึ้นในจิตของเรา และในยามที่เกิดญาณเครื่องรู้ต่างๆปรากฏ มันแตกต่างจากการที่เรารู้ในเรื่องของความรู้ในขณะที่เราใช้กายเนื้อในการเรียนรู้ อาทิเช่น ในเวลาที่เราอ่านหนังสือ เราค่อยๆกวาดสายตา ค่อยๆรู้ไปทีละบรรทัดทีละประโยค ค่อยๆอ่านไปจนจบทีละหน้า แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มันเกิดญาณเครื่องรู้ เป็นความรู้แจ้งรู้ชัดขึ้นมา ความรู้ต่างๆที่ผุดขึ้นจะเหมือนกับความรู้ทั้งหลายนั้น เรารู้ครบถ้วนเหมือนอยู่ในชั่วขณะจิต เรารู้ข้อความเรื่องราวของหนังสือทั้งเล่มในขณะจิตเดียว อันนี้ก็เป็นเรื่องตัวอย่างของญาณเครื่องรู้ ซึ่งแต่ละบุคคล ญาณเครื่องรู้มีความครอบคลุม มีความละเอียด มีความรวดเร็วแตกต่างไปตามวิสัยตามบารมีที่จิตแต่ละดวงนั้นเคยสร้างสะสมมาแตกต่างกัน หรือแม้แต่เรื่องราวอย่างเช่นการระลึกชาติ การระลึกชาตินั้นบางทีเห็นทีละเหตุการณ์ แต่บางบุคคลโดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธภูมิวิสัย เวลารู้ระลึกชาติขึ้นมาได้ ท่านรู้เหมือนประดุจว่าชั่วขณะจิต เรื่องราวทั้งหมดในภพชาตินั้นในชาติที่เสวยว่าเป็นอะไรเป็นใคร มันมีเรื่องราวต่างๆก็รู้ขึ้นมาครบถ้วนทั้งหมดเพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียว ดังนั้นจุดนี้จึงเป็นเหตุผลว่าในช่วงที่พระโพธิสัตว์เจ้าชายสิทธัตถะในขณะที่เกิดญาณเครื่องรู้ก่อนที่จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านทรงรู้ในทุกชาติภพย้อนไปจนถึงที่สุด ไม่ใช่เพียงแค่ชาติเดียว เจ็ดชาติร้อยชาติ แต่รู้ทั้งหมด ดังนั้นในยามขณะที่เครื่องรู้ในบุพเพนิวาสานุสติญาณย้อนทวนไปทุกชาติภพปรากฏ ท่านใช้เวลาเพียงไม่นาน ทุกชาติภพความรู้ทั้งหมดก็ปรากฏขึ้น เพราะไม่เช่นนั้นกว่าความทรงจำในแต่ละชาติภพจะปรากฏ เป็นหมื่นเป็นแสนชาติก็ต้องใช้เวลาแสนปี ถ้าจะให้ความรู้สิ่งต่างๆที่รู้มันปรากฏครบถ้วน ดังนั้นความเร็วของญาณเครื่องรู้มันก็จะมีแตกต่างกันออกไป อันนี้ก็เล่าให้ฟังว่าลักษณะของญาณเครื่องรู้ที่ปรากฏ มีทั้งความครอบคลุม ความกว้างขวาง ความลึกซึ้ง ความรวดเร็ว ความกระจ่างชัดแตกต่างกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความสำคัญที่สุดก็คือเครื่องรู้หรือญาณที่ปรากฏ ทำให้เรากระจ่างแจ้งเข้าใจในธรรมะอันนี้คือข้อที่ 1

ข้อที่ 2 ความกระจ่างแจ้งที่ปรากฏนั้น ทำให้เราละตัดปล่อยวางคลายจากความยึดมั่นถือมั่น คลายจากเครื่องร้อยรัดของสังโยชน์ทั้งสิบ คลายจากกิเลสอำนาจของกิเลสทั้งปวงลงได้

สิ่งนี้ต่างหากคือเป้าหมายสำคัญของการใช้ญาณเครื่องรู้ ญาณเครื่องรู้นี้ให้เราคิดว่า เป็นเครื่องมือเป็นอุปกรณ์ หรือเป็นศาสตราวุธในการที่เราจะใช้ประหัตประหารสรรพกิเลสทั้งหลายให้ปราสนาการออกไปจากจิตของเรา

ญาณเครื่องรู้ทั้งแปดประการเดี๋ยววันนี้ก็จะเล่า ซึ่งอาจจะได้ครบหรือไม่ได้ครบทั้งแปด แต่ก็จะเริ่มตั้งแต่ เจโตปริยญาณ จะกล่าวถึงการที่เราจะใช้ญาณเครื่องรู้ในญาณทั้งแปด  เป้าหมายที่สุดให้เราคิดไว้ก่อนว่าญาณทั้งแปดประการ เราเอาไว้ใช้ตัดกิเลส ไม่ได้เอาไว้ใช้ญาณนั้นเป็นเครื่องแสวงหาลาภสักการะ หรือแสวงหาคำสรรเสริญให้คนเขาชมว่าเราเก่งเราเป็นผู้วิเศษ หรือเอาไปใช้เพื่อหาเงินหาทอง จำไว้เสมอว่ากำลังของฌานสมาบัติก็ดี ญาณเครื่องรู้ทั้งหลายก็ดี มโนมยิทธิก็ดี หากเราไปใช้ผิดแล้ว ท้ายที่สุด คุณธรรมที่เราได้มันก็จะเฝือ มันก็จะค่อยๆเสื่อมไป เพราะมันมีความโลภเข้ามาเจือมีอคติเข้ามาเจือ สุดท้ายแทนที่จะเป็นบารมีพระ มันก็จะกลายเป็นว่าเราว่าเอง อคติในจิตเรามันว่าเองมันปรุงไปเอง แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม เราใช้ญาณเครื่องรู้ เราใช้ฌานสมาบัติ เราใช้กำลังมโนมยิทธิ ไปในหนทางที่ถูกต้อง อันนี้สำคัญที่สุด จากเทพเป็นมารก็เพราะว่าเราไปใช้ผิดทาง จากปุถุชนเป็นพระอริยเจ้าก็เพราะเราใช้แล้วถูกทาง

ญาณเครื่องรู้จงใช้เพื่อตัดกิเลส อันนี้คือวัตถุประสงค์ซึ่งทุกคนที่เป็นลูกศิษย์ ห้ามไปใช้ในเรื่องที่เป็นเรื่องเพิ่มกิเลสพอกกิเลส ใช้เพื่อตัดกิเลสเท่านั้น ใช้เพื่อละรู้เพื่อละเท่านั้น

คราวนี้เราก็จะเริ่ม เมื่อเราตั้งใจตั้งจิตใช้งานได้ถูก พระท่านก็จะสงเคราะห์เต็มที่เต็มกำลัง

ญาณตัวแรกที่สำคัญก็คือ “เจโตปริยญาณ” เจโตปริยญาณก็คือญาณเครื่องรู้ที่ทำให้เรารู้วาระจิต การรู้วาระจิตนั้น อันที่จริงสิ่งนี้เริ่มเกิดขึ้นมาตั้งแต่เราได้อานาปานสติ จิตเรานิ่งสงบมากเท่าไหร่ เรายิ่งเห็นความสงบของจิตทั้งของตัวเราแล้วก็คนอื่น อย่างเจโตปริยญาณ บางครั้งเราแค่มองคนคนหนึ่งเราก็รู้แล้วว่าบุคคลนั้นจิตสงบหรือจิตวุ่นวาย จิตหนักหรือจิตเบา จิตสว่างหรือจิตเศร้าหมอง อันนี้ก็คือเรื่องปกติทั่วไป แต่สิ่งสำคัญก็คือเอามาดูจิตของเราเอง อันนี้ประการที่ 1 ดูจิตของเราก็คือรู้ที่จะดูรักษาให้จิตของเรามีความผ่องใสประภัสสรไว้เสมอ คือดูแลรักษาใจของเราเอง ดูจิตของเราว่าทรงภาพพระอยู่ตลอดเวลาไหม จิตมีความสุขมีความผ่องใสตลอดเวลาไหม จิตมีความหงุดหงิดมีความวุ่นวายมีความหนักไหม ตรงนี้คือความสำคัญของการใช้เจโตปริยญาณในระดับที่ 1

ระดับต่อมานั้นเป็นการควบเจโตปริยญาณ ตรงจุดนี้ถือว่าเป็นคำแนะนำ ว่าเราควรใช้เจโตปริยญาณเพื่อที่จะเกิดผลในการตัดกิเลสให้รวดเร็วมากขึ้นเร็วยิ่งขึ้น วิธีใช้ก็คือว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราอ่านหนังสือธรรมะ ฟังเสียงเทพหรือแม้แต่อ่านพุทธประวัติต่างๆ สิ่งสำคัญคือให้จิตของเราใช้เจโตปริยญาณไปรู้วาระจิตนั้นอารมณ์จิตนั้น เช่น ในหนังสือประวัติของครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้า หลายท่านได้กล่าวในหนังสือประวัติว่าช่วงก่อนที่ท่านจะบรรลุธรรมท่านพิจารณาอย่างไร อารมณ์จิตตัดอย่างไร ตัดกายอย่างไร ให้เราใช้เจโตปริยญาณหยั่งเข้าไปประดุจเข้าถึงอารมณ์จิตที่ท่านพิจารณานั้น พอเราหยั่งไปอารมณ์ดังกล่าวบ่อยขึ้นมากขึ้น อ่านประวัติวาระที่ท่านบรรลุธรรมหลายๆองค์มากขึ้นมากขึ้น เราซึมซับเข้าถึงในอารมณ์ใกล้เคียงกับที่ท่านเข้าถึง อารมณ์จิตในการตัดกิเลสของเราเข้าใกล้อย่างยิ่ง ในจุดที่เกิดผลที่ทำให้ตัดกิเลสได้ จิตของเราก็ยิ่งชินยิ่งเกิดปัญญายิ่งเกิดความชำนาญในการพิจารณานั้น หรือแม้แต่ในขณะที่เราอ่านหรือฟังพุทธประวัติ เราก็กำหนดจิตเหมือนกับว่าเราอยู่ในเหตุการณ์นั้น เข้าถึงอารมณ์จิตเหมือนกัน อันนี้คือคำที่พระพุทธองค์ท่านทรงสอนในเรื่องของการใช้เจโตปริยญาณ หยั่งไปว่าจิตเราเข้าถึงอารมณ์ประดุจจิตของท่านองค์นั้นๆทุกพระองค์ ทุกเรื่องราวเราเข้าถึง ถ้าจุดนี้เราสามารถทำได้เป็นปกติ การพิจารณาธรรม การเจริญวิปัสสนาญาณ จิตก็จะเข้าถึงอารมณ์ตัด อารมณ์ละ อารมณ์วาง ได้ชัดเจนขึ้น เกิดปัญญาญาณมากขึ้น เช่นเมื่อเราหยั่งไปเช่นนี้หลายครั้งเราจะเข้าใจว่าจังหวะที่ท่านตัดในอารมณ์นี้พิจารณาเช่นนี้แล้วตัดละวางแบบนี้ ท่านวางได้หมด คือ บรรลุอรหัตผลในอารมณ์จิตขณะที่วางตรงจุดนี้ เราจะเห็นรายละเอียดในหลายๆส่วน ในข้อธรรมในการปฏิบัติของแต่ละท่านได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ตรงนี้คือสิ่งสำคัญที่เป็นเรื่องของการเจริญวิปัสสนาญาณขั้นสูง ตรงจุดนี้ก็เป็นจุด

จุดต่อไปที่เป็นญาณเครื่องรู้ตัวต่อไปที่มีความสำคัญนั่นก็คือ “ยถากรรมุตาญาณ”

ยถากรรมมุตาญาณนี้สิ่งสำคัญก็คือ แก่นความเข้าใจหรือการนำไปใช้ก็คือ มองว่าทุกอย่างเป็นกฎของกรรม ซึ่งญาณตัวนี้ก็จะใช้ร่วมกันกับบุพเพนิวาสานุสติญาณ เหตุการณ์ต่างๆที่ปรากฏ เมื่อไหร่ที่ญาณทั้ง 2 ตัวนี้เกิดขึ้น เราจะมองเหตุการณ์ทุกอย่าง ว่าเป็นกฎของกรรมทั้งหมด ตรงนี้สำคัญอย่างยิ่ง เมื่อไหร่ที่เรายอมรับตามกฎของกรรม เช่น มีเหตุการณ์เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเรา เราเดินอยู่แล้วก็ไปถูกมีดบาดขึ้นมาบริเวณใดบริเวณหนึ่ง แทนที่เราจะคร่ำครวญกับการที่เราถูกมีดบาด ญาณเครื่องรู้ บุพเพนิวาสานุสติญาณมันก็จะปรากฏว่า เหตุที่เราถูกมีดบาดนี้มันมาจากกรรมอะไร ถ้าเราเคยอ่านประวัติของหลวงพ่อฤาษีท่านก็ดี หรือหลวงพ่อจรัญก็ดี ท่านเล่าให้ฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรื่องราวโรคภัยที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นจากกรรมเก่าทั้งนั้น กรรมเก่าที่เราเคยทำ พอเรารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราเกิดขึ้นจากกรรมเก่า ถ้าเรายอมรับตามกฎของกรรม เราปล่อยวาง ความทุกข์ทางจิตใจ ความดิ้นรนวุ่นวาย ความเร่าร้อนของจิต มันก็น้อยมันก็เบาลง แต่ถ้าสำหรับบางบุคคล ยังยึดติดวุ่นวาย เช่นไปโดนคนนั้นเบียดเบียนคนนี้โกง ถ้าเรากำหนดรู้ว่าทุกอย่างเป็นกฎของกรรม เรายอมรับว่าเราปล่อยวาง เราอโหสิกรรม กรรมทั้งหลายมันก็คลายตัวมันก็จบเป็นโมฆะกรรมได้

สิ่งสำคัญคือการที่เราปล่อยวางได้เร็วเท่าไหร่ ความทุกข์มันก็น้อยลงเท่านั้น เคารพและมองทุกเหตุการณ์เป็นกฎของกรรม เราก็ปล่อยวางได้เร็วกว่าคนที่เขาอยากวุ่นวายใจ

ดังนั้นถ้าเรามีสติ เราก็กำหนดรู้ ขอให้ญาณเครื่องรู้บุพเพนิวาสานุสติญาณปรากฏขึ้นไว้เสมอ และสิ่งที่สังเกตและก็มาคู่กันก็คือ ยถากรรมมุตาญาณก็คือเหตุการณ์ต่างๆจะนำพาให้เกิดผล ยถากรรมก็คือกรรมมันจะนำพาให้เกิดผลอย่างไรบ้าง ศัพท์ของไทยที่เขาพูดกันบ่อยๆก็คือปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม คำนี้จริงๆบางครั้งที่เราไปใช้ก็เหมือนปลงได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็คือเหมือนกับคำว่าช่างมัน แบบที่ว่ามันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันไม่สนใจมากกว่า แต่ถ้าเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องยถากรรม เราจะไม่ทำกรรมที่เป็นอกุศลกรรม

อันที่จริงถ้ามองว่ากรรมนั้นมันเหมือนกับกระแสของน้ำ เราสามารถเบนกระแสกรรม เปลี่ยนกระแสกรรม โดยที่ใช้ยถากรรมมุตาญาณ ซึ่งมันก็จะร่วมกันกับอนาคตังสญาณมาร่วม แล้วใช้ปัญญาพิจารณาดู เช่น มีคนทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ เราก็พิจารณาดูว่าถ้าเราแก้แค้นเอาคืน กรรมนั้นมันจะพาให้เราไปยังอบายภูมิอย่างไร กรรมนั้นมันจะนำพาก็คือกระแสกรรมนั้นมันพัดพาดวงจิตของเรา จำไว้ว่ากระแสกรรมก็เหมือนกระแสน้ำ จิตของเราล่องลอยไปตามกระแสของกรรม จะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว กระแสน้ำนี้มันก็เป็นกระแสน้ำที่พัดพาไปเป็นปกติอยู่ในสังสารวัฏ ปลายทางของกระแสกรรมนั้น อันที่จริงก็ไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นคำอุปมาอุปมัย ถึงใช้คำว่า “ทะเลแห่งสังสารวัฏ” ทะเลแห่งทุกข์

การที่เราจะเบนกระแสของกรรมได้ เราก็เข้าใจในเรื่องของยถากรรมมุตาญาณ กรรมนี้เหตุนี้จะทำให้เราไปจุติยังภพใดเสวยผลอย่างไร ยังตามอาฆาตพยาบาทเราต้องไปพบเจอบุคคลนั้นอีก ได้พบเหตุการณ์ที่กระทบกระทั่งกันแบบเดิม มันก็เกิดซ้ำกันไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเมื่อไหร่เราเข้าใจแล้วเราเบนกระแส เราก็ตัดด้วยอโหสิกรรม ตัดให้เป็นโมฆะกรรม แล้วก็ตั้งจิตตั้งใจว่ากระแสของกรรมที่นำพาจิตของเราไปนั้น เราจะอยู่ในกระแสของกุศลก็คือกุศลที่นำพาให้จิตเราไปจุติยังภพที่เป็นสุคติคือสวรรค์พรหม หรือแม้แต่กระทั่งเราไม่เอาแม้แต่กระแสกุศลไม่เอาแม้กระแสของอกุศล เราขอเป็นกระแสของโลกุตระ กระแสมรรคผลพระนิพพาน

การที่เราจะเข้ากระแสมรรคผลพระนิพพาน เราต้องทำอย่างไร

เราก็พิจารณาดูว่าเหตุที่จะทำให้เราเข้าสู่มรรคผลพระนิพพาน เราต้องพิจารณาตัดอะไร ละวางสิ่งใด ต้องสร้างกรรมแบบไหน สร้างเหตุแบบไหน ถึงจะบรรลุธรรม

ดังนั้นในเรื่องของกรรมและกฎของกรรม กระแสของกรรม เราใช้ญาณทั้งสองตัวนั้นเป็นเครื่องมือ บุพเพนิวาสานุสติญาณ อดีตังสญาณ จริงๆมันก็จะควบกัน อนาคตังสญาณก็เป็นเรื่องของอนาคต เป็นเรื่องของยถากรรมมุตาญาณ ญาณทั้งสองส่วนทั้งสี่ใช้ค่อนข้างควบคู่กัน

ตอนนี้ก็ให้เราลองพิจารณาดู ตอนนี้ใครประสบสิ่งที่เป็นวิบากบ้าง ใครเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบายกระเสาะกระแสะป่วยบ่อยบ้าง ก็ลองดูเหตุ เหตุคือสิ่งใด เหตุคือเคยทำผิดศีลข้อปาณาติบาต เคยเบียดเบียนคนอื่น เคยทุบเคยหักเท้าคนอื่นก็ทำให้เราเท้าหักขาหัก ถ้าเราไม่เคยทำมาในกาลก่อน มันก็จะไม่มีผล

ให้เรากำหนดพิจารณา ขอญาณเครื่องรู้ ขอกำลังของพระพุทธเจ้า สิ่งใดที่เป็นข้อติดขัด ขัดข้อง เป็นวิบากที่เราประสบพบเจออยู่ขณะนี้ช่วงเวลานี้หรือชาตินี้ หรือเป็นเหตุการณ์เป็นเรื่องราวเป็นปมที่เรายังคาใจ เราอธิษฐานจิต ตัด วาง คลาย พิจารณาขอให้เห็นเหตุในอดีตกาลอดีตชาติความเป็นมา จากนั้นพิจารณาด้วยวิปัสสนาญาณ คือปัญญาเพื่อปล่อยวาง

ตอนนี้ก็ให้เราพิจารณาของแต่ละบุคคล ของตัวเราเอง เป็นปัจจัตตัง ในเรื่องกรรมและกฎของกรรม ในเรื่องของปม ในเรื่องของวิบากที่เราประสบ ซึ่งตรงจุดนี้ถ้าเราฉลาดใช้ นอกเหนือจากการเป็นเรื่องของการปล่อยวาง การตัดกิเลส มันก็จะเป็นเรื่องของการแก้กรรม การเบนกระแส การทำให้ทุกข์ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกมีขันธ์ห้าอยู่นี้ มันเบา มันคลายตัวไปมากกว่าคนทั่วไป

ตอนนี้ก็ให้เราแต่ละบุคคลอธิษฐานจิต ขอภาพเหตุการณ์หรือเรื่องราวในอดีตชาติในการปลด ในการแก้กรรม ในการคลายวิบากจากจิตของเรา คลายความยึดมั่นถือมั่น คลายความทุกข์ของใจ กำหนดภาพองค์พระสว่าง กำหนดรู้ ญาณเครื่องรู้จงปรากฏ

เมื่อเราพิจารณาแล้ว เราก็ใช้อุบายในธรรมะ ปล่อยวาง แก้ด้วยธรรมะที่เป็นปรปักษ์ แก้ทางกัน หากวิบากเคราะห์เรามาจากความเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบายจากปาณาติบาต เราก็ห มั่นที่จะให้ชีวิตทาน บริจาคเลือด ปล่อยปลา ปล่อยโค ปล่อยนก ปล่อยปู ก็ว่าไป หรือทำบุญที่เกี่ยวเนื่องกับการสงเคราะห์พระสงฆ์อาพาธ คิลานปัจจัย ถวายยารักษาโรค เราก็แก้เหตุกันไป ถ้าเป็นวิบากเกี่ยวกับการถูกโกง เราก็ทำบุญให้ทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้ทานที่มีผลอานิสงส์มากก็คือสังฆทาน หรือสิ่งที่กระทบกระทั่งกับคนกับบุคคลโดยเฉพาะบางบุคคล เราก็แผ่เมตตาอโหสิกรรม ขมากรรมต่อกันไป ดังนั้นความทุกข์ทั้งหลายมันก็จะเบาลงคลายตัวลง

จำไว้ว่าเมื่อเรามาปฏิบัติธรรมแล้วความวุ่นวายต้องน้อยลง ความทุกข์ต้องน้อยลง ความขัดเคืองใจต้องน้อยลง การที่เรามาปฏิบัติธรรมถึงเวลา จิตเราสงบเราไม่สร้างอกุศล เราไม่สร้างเหตุใหม่ ด้วยการละเมิดศีล ดังนั้นการที่มันมามีเรื่องราวดราม่าความวุ่นวายมันก็น้อยกว่าคนทั่วไป เพียงแต่ความรู้สึกในยามที่เราละเอียด เราเห็นชัดมากกว่าในช่วงที่เรายังหยาบ เรายังไม่ปฏิบัติธรรมบางครั้งเราไม่ทันสังเกต เรายังมีความหยาบหรือจิตมันไม่ได้มีความไวในการรับอารมณ์กระทบ มันก็จะด้านๆไม่ค่อยรู้สึกอะไรมาก แต่คราวนี้จิตเรามีความไวสูง จิตมันมีความละเอียดขึ้น บางครั้งบางคนก็กระทบนิดกระทบหน่อย แต่เรารู้สึกไว มันก็เลยเป็นเห็นชัด เกิดคาในจิตในใจเรามากกว่าสมัยก่อน ดังนั้นบางคนก็บอกว่าเวลามาปฏิบัติธรรมแล้วมันจะต้องพบ ปรากฏว่าที่มันพบเพราะว่ามันมีความละเอียดมีความชัด มันเลยเห็นชัดกว่าคนที่เขาไม่ปฏิบัติด้วยประการที่ 1

กับอีกกรณีหนึ่งก็คือ เมื่อปฏิบัติ ญาณเครื่องรู้มันมีมันปรากฏ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายเขาเห็นว่าเราจะไปแล้ว เราจะหนีออกนอกประเทศ ก็คือประเทศของสังสารวัฏ เราจะไปต่างประเทศคือประเทศพระนิพพาน เขาตามทวงหนี้เราไม่ได้ เขาก็ต้องหาทางที่จะใช้ช่วงเวลาก่อนที่เราจะออกนอกประเทศออกพ้นจากสังสารวัฏนี้ให้มากที่สุด นี่ก็คือสาเหตุหนึ่ง แต่ถ้าเรามีความเข้าใจ เราแผ่เมตตาและอโหสิกรรม เราขยันที่แผ่เมตตาให้เป็นปกติ กำลังของการแผ่เมตตานี้ก็เป็นเหมือนกับเกาะแก้ว การอาราธนาบารมีพระก็เหมือนกับเกาะแก้วที่ช่วยคุ้มครองเรา จากกระแส จากการรบกวน จากการทวงของเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายเหล่านี้ได้

ดังนั้นอันที่จริงแล้วญาณเครื่องรู้ต่างๆ ถ้าเราฉลาดใช้และใช้เป็นทุกตัว ประโยชน์มันก็มีมากกว่าคนที่เคยทำได้แต่ใช้ไม่เป็น ครูสอน ไปเรียนได้หมด มโนมยิทธิขั้นที่หนึ่ง  ขั้นแรกยกจิตขึ้นไปที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไปได้ ขึ้นไปบนพระนิพพานไปได้ พอขั้นต่อต่อไปก็ปฏิบัติให้เกิดความชำนาญ พอเข้าขั้นสูงขึ้นก็ไปเรียนในห้องญาณแปด ห้องญาณแปดอันที่จริงก็เพื่อฝึกใช้เอาญาณเครื่องรู้มาเจริญวิปัสสนาญาณ เพื่อหนึ่งเข้าใจในเรื่องการกฎของกรรม เพื่อเข้าใจเรื่องสวรรค์นรกมีจริง ไปดูภพภูมิต่างๆ ท่องเที่ยวญาณแปด ท่องเที่ยวญาณแปด ปัจจุบันสนังสญาณแต่ว่าไปด้วยความเป็นทิพย์ไปด้วยกายที่ไปด้วยกำลังของมโนมยิทธิ ไปเพื่อให้รู้ในเรื่องของสังสารวัฏ ตรงนี้ก็อย่างที่บอกว่าคนที่ได้ใหม่ๆก็มีความสนุกมีความเพลิดเพลิน ท่องเที่ยวญาณแปดในเมืองหิมพานต์ ไปภพพญานาค ไปดาวดวงนั้นดวงนี้ ไปดูสวรรค์ชั้นต่างๆ แต่ที่จริง ถ้าจะมาใช้เพื่อเจริญวิปัสสนาญาณ เพื่อพระนิพพาน จุดที่ต้องไปดูคือ ไปดูในช่วงเวลาที่แต่ละภพเขาหมดบุญ ไปดูให้หมดเลย เหมือนดูในเรื่องของเหมือนกับการใช้มรณานุสติ มรณานุสติเราใช้กับการที่เรามีกายเนื้อตาย แต่เวลาเราท่องเที่ยวญาณแปด เราไปดูเวลาเทวดาเขาตายหมดบุญ พรหมเวลาเขาตายหมดบุญ ดูว่าความไม่เที่ยงของภพต่างๆ เขาเป็นอย่างไรบ้าง ความทุกข์ความสลดสังเวชความหวาดกลัว เห็นกายทิพย์ค่อยๆจางลง รัสมีกายหดลง ค่อยๆเลือนหายลง ทิพยสมบัติทิพยวิมานค่อยๆเลือนหายไป มันเกิดความสะดุ้งตกใจอย่างยิ่ง มีความทุกข์อย่างยิ่ง เห็นความไม่เที่ยงของทุกภพ เพื่อเห็นคุณของพระนิพพาน อันนี้ก็คือสิ่งที่เราจะต้องฝึกเอาไปใช้

แล้วก็จำไว้เสมอว่า เมื่อไหร่ก็ตาม ถ้าเราปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “มโนมยิทธิ” ฝึกแล้วฝึกอีกจนกระทั่งไม่คิดอยากไปไหน มโนมยิทธิสุดท้าย ถ้าเข้าเขตความเป็นพระอริยเจ้า จะอยากไปจุดเดียวก็คือพระนิพพาน ที่อื่นถ้าไม่ใช่มีเรื่องราว ไม่ได้มีเหตุก็จะไม่ไป จะไปจุดเดียวก็คือพระนิพพานอย่างเดียว อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราไว้ดูจิตของตัวเราเองได้ ถ้าปรารถนาพระนิพพานจริง ถ้าเบื่อหน่ายคลายในสังสารวัฏจริง จิตเราจะมุ่งเราจะปักเราจะไปแต่พระนิพพานเท่านั้น อยากจะอยู่อยากจะพบอยากจะใกล้กับพระพุทธเจ้าเท่านั้น อันนี้เราก็สามารถสังเกตได้ว่าแม้แต่เพื่อนที่ปฏิบัติธรรมใน Facebook คนที่เขาโพสต์แต่กราบพระพุทธเจ้าพบพระพุทธเจ้าไปพระนิพพานตลอดเวลา อันนี้ก็คือจิตเขาแนบทั้งนั้น ของเราก็พิจารณาแล้วก็ดูจิตของเรา ดูอารมณ์ของเราว่าจริงไหม ขยันเจริญพระกรรมฐานทุกครั้งไหม ไม่เบื่อไม่อิ่มกับการที่เจริญพระกรรมฐาน ไม่เบื่อไม่อิ่มกับการยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน ถ้าอารมณ์เราเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าอย่างไรก็ไปพระนิพพานชาตินี้ได้แน่นอน

สำหรับวันนี้ก็ใกล้เวลาจะหมดเวลา ให้เรากำหนดจิต อธิษฐานตรงต่อสมเด็จองค์ปฐมว่า ขอให้ญาณเครื่องรู้ทั้งแปดของข้าพเจ้า เป็นไปเพื่อยังพระนิพพานให้แจ้ง ให้ข้าพเจ้ายอมรับตามกฎของกรรม ตามอริยะประเพณี ตามอริยะวิสัย ที่พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ พระอริยเจ้าทุกๆพระองค์ ท่านเคารพกฎของกรรมเป็นปกติ เมื่อจิตข้าพเจ้าพบเจอเหตุการณ์ใดๆ ก็มองเห็นว่าเป็นผลของกฎแห่งกรรมทั้งหมด ปัญญาญาณ ปัญญาในวิปัสสนาญาณ ก็จะเกิดขึ้นตลอดเวลา

จากนั้นอาราธนากระแสจากพระนิพพาน ขอน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมาเป็นแสงสว่าง เป็นบุญกุศล เป็นบารมี แผ่เมตตาถวายยังสามภพภูมิ ทุกดวงจิต สรรพสัตว์ สรรพดวงจิต จงเป็นสุข จงสว่างผ่องใส จงสำเร็จประโยชน์สุข จงพ้นจากความทุกข์

แผ่เมตตาจากพระนิพพานลงไปยังอรูปพรหมทั้งสี่  แผ่เมตตาลงไปยังพรหมโลกทั้งสิบหกชั้น

แผ่เมตตาลงไปยังอากาศเทวดาทั้งหกชั้น น้อมกุศลเชื่อมกระแสถึงพระโพธิสัตว์เจ้าที่สวรรค์ชั้นดุสิตทุกๆพระองค์

แผ่เมตตาต่อไปยังภพของรุกขเทวดาภุมมเทวาทั่วอนันตจักรวาล

แผ่เมตตาลงไปยังภพของมนุษย์และสัตว์ที่มีขันธ์ห้ากายเนื้อทุกดวงดาวทั่วอนันตจักรวาล

แผ่เมตตาลงไปเป็นแสงสว่างเป็นความสุขให้กับบรรดาดวงจิตโอปปาติกะสัมภเวสีทั้งหลาย ชาวเมืองบังบดลับแลทั้งหลาย มิติที่ทับซ้อนทั้งหลาย

แผ่เมตตาต่อไปยังภพภูมิของเปรตอสุรกายทั้งหลาย สัตว์นรกทั้งหลายทุกขุมลึกลงไปที่สุดจนถึงโลกันตมหานรก

ขอบุญกุศลกระแสเมตตากระแสพระนิพพานแผ่ถึงสรรพสัตว์ทั้งสามภพภูมิ ขอท่านทั้งหลายจงประสบความสุขพ้นจากความทุกข์ ท่านที่สุขอยู่แล้วก็ขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไป ขอกระแสมรรคผลพระนิพพานจงเข้าถึงดวงจิตทุกดวง

จากนั้นตั้งจิตยังประโยชน์ส่วนรวม อาราธนากระแสจากพระนิพพานลงมาคลุมโลกทั้งหมด เป็นแสงสว่าง เป็นบุญกุศล ขอจงเกิดสันติสุขสันติภาพความร่มเย็น ขอจงสลายภัยพิบัติคลายภัยพิบัติ คลายความทุกข์ความเร่าร้อนในจิตของมนุษย์ทั้งหลายสัตว์ทั้งหลาย ขอความอุดมสมบูรณ์ร่มเย็นสันติสุขจงปรากฏขึ้นกับโลกใบนี้

น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมาคลุมประเทศไทยทั้งหมด ขอกระแสธรรมะคุณธรรมศีลธรรมความดีจงปรากฏ ขอความรักความสามัคคีของคนในชาติจงมาปรากฏ ขอจิตสำนึกมวลรวมที่ประชาชนคนไทยทุกคนรักชาติทำนุบำรุง ส่งเสริมให้ชาติแผ่นดินมีความปึกแผ่นมั่นคง สามัคคี เห็นจุดดีจุดแข็งของประเทศชาติบ้านเมือง และช่วยกันแก้ไขข้อเสียจุดอ่อนของประเทศของแผ่นดิน จากร้ายให้กลายเป็นดี ขอให้กระแสของพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ คุ้มครองให้ประเทศไทยปลอดภัยจากศึกสงคราม ทั้งอริราชศัตรูภายนอก การแทรกแซงของประเทศภายนอก และขอให้ชนะข้าศึกศัตรูที่เป็นอริราชศัตรูภายในจากคนที่คิดร้ายคิดทำลายชาติ ขอจงแพ้ภัยตัวเองเป็นไปตามกฎของกรรม ขอจงเกิดกำลังแห่งมหาสะท้อนย้อนกลับยังบุคคลที่คิดร้ายทำลายชาติ ทำลายพระพุทธศาสนา ทำลายสถาบัน

จากนั้นอาราธนากระแสจากพระนิพพานลงมา คลุมคุ้มครองเขตพระพุทธศาสนาทั้งหมด ขอกระแสพระนิพพานพุทธานุภาพ ชำระล้างวัดวาอารามทั้งหลาย สถานปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ให้บริสุทธิ์ ขอกระแสธรรมคุณธรรมศีลธรรม สัมมาทิฐิ กระแสมรรคผลพระนิพพานหลั่งไหลลงสู่จิตของพุทธบริษัทสี่ทั้งหลาย ให้รู้แจ้งเข้าใจในธรรมที่เป็นธรรมตรง

ขอกระแสแห่งมรรคผลสลายล้างอวิชชา สลายล้างอลัชชี สลายล้างผู้ที่มาเกาะกินพระพุทธศาสนาทำลายพระพุทธศาสนาทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ ขอกระแสมรรคผลพระนิพพานชำระล้างให้บุคคลทั้งหลายกลับตัวกลับใจ หรือหลุดพ้นออกไปจากเขตพระพุทธศาสนา

จากนั้นน้อมกระแสพุทธานุภาพธรรมานุภาพลงมา ขอพุทธานุภาพจงมาสถิตเป็นกำลังบุญบริสุทธิ์ยังพระพุทธรูปทุกๆพระองค์ในทุกวัดวาอาราม องค์เล็กองค์ใหญ่องค์ประธาน พระพุทธรูปที่อยู่ในบ้านเรือน พระเครื่องวัตถุมงคล ผ้ายันต์ ตะกรุด ขอจงสลายล้างอวิชชามนต์ดำคุณไสยทั้งหลาย ใครทำใครแทรกใครผูกใครมัดใครตรึงไว้ก็ดี ขอจงสลายออกไปจนหมด มีเพียงกำลังของพุทธานุภาพ มีเพียงกำลังพุทธคุณบริสุทธิ์อยู่ในทุกวัตถุมงคล อยู่ในทุกวัดวาอาราม อยู่ในทุกพระบรมธาตุเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุ พระอัฐิธาตุ พระอรหัตธาตุ ขอจงมีความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์

จากนั้นน้อมกระแสจากพระนิพพานกระแสบุญลงมา ขอกระแสบุญกุศล กำลังพระกรรมฐาน ขอจงเป็นกำลังบุญจากพระนิพพานลงมาอภิบาลองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชินี พระพันปีหลวง พระบรมวงศานุวงศ์ทุกๆพระองค์ ตลอดรวมจนถึงทหารหาญของชาติ บุคคลที่เสียสละ มีจิตมั่นคงจริงใจในการทำนุบำรุงรักษาบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า เป็นกำลังที่จะช่วยเหลือนำพาประเทศชาติเข้าสู่ยุคชาววิไล ขอกำลังบุญจงส่งเสริมสนับสนุนคุ้มครองรักษา ขอกระแสบุญจากพระนิพพานน้อมรวมลงมาถวายยังองค์พระสยามเทวาธิราช พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหลักเมือง พระกาฬไชยศรี เจ้าพ่อหอกลอง ตลอดจนเทวดาอารักษ์ทั้งหลาย พระคลังมหาสมบัติ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดวงพระวิญญาณแห่งบูรพมหากษัตราธิราชเจ้า ดวงวิญญาณแห่งบรรพบุรุษ ทหารทหารของประเทศชาติแผ่นดิน ขอจงเกิดกำลังบุญฤทธิ์อิทธิฤทธิ์เทพฤทธิ์ กำลังบุญส่งเสริมให้ท่านมีกำลัง ยิ่งช่วยทำนุบำรุงรักษาชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ได้อย่างมีกำลังเข้มข้นด้วยเถิด

จากนั้นอธิษฐานจิต ตั้งจิตกราบสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ช่วยกันอธิษฐาน ขอให้การจัดสร้างพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน พระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิปิดทองประดับเพชรที่พวกเราช่วยกันสร้างช่วยกันอธิษฐาน ขอให้สำเร็จสัมฤทธิ์ผลในการหล่อในการจัดสร้าง และมีผู้ร่วมถวายปัจจัยจนครบยอดซึ่งยังขาดอีกจำนวนหนึ่ง ก็ขอให้มีความศักดิ์สิทธิ์ มีนายบุญมีผู้ที่ใจบุญร่วมบุญมาจนครบให้สำเร็จลงให้จงได้ ช่วยกันอธิษฐาน แล้วก็ขออาราธนาท่านทั้งหลายท่านที่เป็นกายทิพย์ ท่านที่เป็นสัมมาทิฐิ ท่านที่เป็นเทพยดาอารักษ์ เทพพรหมเทวดาที่พิทักษ์รักษาข้าพเจ้าทั้งหลายในยามเจริญพระกรรมฐาน อินทร์พรหมยมนาคทั้งหลาย พญานาคทั้งหลาย พญาครุฑทั้งหลาย เทวดาทั้งหลายทุกชั้น พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ข้าพเจ้าขออาราธนาอัญเชิญท่านมาร่วมในการสร้างในงานหล่อพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน ขอจงมีส่วนร่วมในบุญในกุศลทุกสิ่งทุกประการด้วยเถิด ตั้งจิตใช้กายทิพย์อาราธนาทุกท่านทุกๆพระองค์มานะ เมื่ออาราธนาแล้ว ต่อไปเราก็น้อมจิตกราบลา กราบลาท่าน เมื่อกราบลาแล้วก็อาราธนาพุ่งจิตกลับลงมายังโลกมนุษย์ น้อมกระแสจากพระนิพพานส่องตรงลงมาฟอกร่างกายธาตุขันธ์ ผมขนเล็บฟันหนังกลายเป็นแก้วใส โครงกระดูกทั่วร่างกายกลายเป็นแก้วใส หลอดเลือดเส้นเอ็นกลายเป็นแก้วใส เซลล์ทุกเซลล์อวัยวะทุกส่วนกลายเป็นแก้วใส อาการทั้ง 32 อวัยวะภายในทั้งหมดกลายเป็นแก้วใส ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์สลายล้างดับล้างโรคภัยไข้เจ็บออกไปจากขันธ์ห้าร่างกายของข้าพเจ้าทุกคน เซลล์มะเร็งเซลล์เนื้องอก ซีส โรคร้ายภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ ขอจงสลายตัวคลายตัว ร่างกายทุกส่วน เซลล์ทุกเซลล์ อวัยวะภายในทุกส่วน กระแสเลือด ขอจงมีแต่กระแสบุญหล่อเลี้ยงในทุกอนุภาคในทุกเซลล์ทั่วทั้งธาตุขันธ์นี้ ขอเซลล์ทุกเซลล์ เลือดทุกหยด จงมีแต่กระแสพลังชีวิตหล่อเลี้ยง พลังบุญกุศลหล่อเลี้ยง ธาตุแห่งความเป็นทิพย์ภาคทิพย์หล่อเลี้ยงธาตุหยาบกายเนื้อ กายเนื้อกายทิพย์ประสานสอดคล้อง มีราศีมีบุญบารมีหล่อเลี้ยงผ่องใส

จากนั้นอาราธนากระแส ขอเปิดสายบุญสายทรัพย์สายสมบัติ ขอให้ทิพยสมบัติพรหมสมบัติ อันปรากฏขึ้นจากทานบารมี ศีลบารมี ภาวนาบารมีของข้าพเจ้าในทุกภพทุกชาติจงรวมตัว กลั่นเป็นมนุษย์สมบัติอันจับต้องได้ ในขณะที่มีชีวิตในชาติสุดท้ายก่อนพระนิพพาน ให้ข้าพเจ้าเข้าถึงมหาโภคทรัพย์นับอนันต์ สร้างบุญสร้างบารมีช่วยทำนุบำรุงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วยเถิด

จากนั้นก็น้อมจิตอนุโมทนาสาธุกับกัลยาณมิตรทุกคนที่เจริญพระกรรมฐานพร้อมกันในวันนี้ ทั้งเจ็ดสิบสี่ท่าน และท่านทั้งหลายที่มาฟังในภายหลังปฏิบัติตามในภายหลัง

จากนั้นหายใจเข้าช้าๆลึกยาว พุทโธ หายใจเข้าช้า ลึก ยาว ธัมโม หายใจเข้าช้า ลึก ยาว สังโฆ ถอนจิตจากสมาธิช้าๆด้วยจิตอันผ่องใส

วันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ช่วงสัปดาห์หน้าก็จะเป็นช่วงที่หมู่คณะพวกเราจะดำเนินการเดินทางไปจัดสร้าง ในงานหล่อพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน ที่โรงหล่อองค์พระปฐม คือโรงหล่อป้าจำเนียร ที่จังหวัดอุทัยธานี มีหลายท่านที่แสดงความจำนงในการที่จะไปร่วมงานหล่อพระด้วย ก็ขอโมทนาบุญ แล้วก็ขอแจ้งว่า ในวันนี้ทางอาจารย์ก็ได้มีโอกาสได้รับมอบทองคำจำนวนหนึ่งจากญาติธรรมหลายๆท่าน ที่นำมามอบให้ที่วัดจันทร์ ต่อหน้าหลวงพ่อหนุน ก็ขอให้เราทุกคนร่วมกันโมทนา

สำหรับท่านใดที่ตั้งใจว่าจะถวายทองคำในการหล่อ ก็สามารถนำไปร่วมในงานหล่อ ใส่เบ้าหล่อในช่วงก่อนที่จะเททอง ให้นำไปด้วยตัวเองก็ได้ แล้วก็ปัจจัยยังขาดอยู่อีกจำนวนประมาณสี่แสนบาท ตรงนี้ก็ขอให้ท่านใดที่พอมีกำลัง เป็นต้นบุญเป็นกองบุญได้ก็ช่วยกัน เป็นเจ้าภาพเป็นกองบุญใหญ่ รวมศรัทธาญาติโยมสายบุญที่เราพอรู้จักเป็นก้อนแล้วก็มารวบรวมร่วมบุญกันได้ ยังขาดอีกจำนวนมากพอสมควร ซึ่งการดำเนินการหล่อพระ ค่าจัดสร้างก็ได้มอบเงินให้กับทางโรงหล่อไปแล้วจำนวนครึ่งหนึ่ง ยังมีอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ได้ชำระ แล้วก็มีค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นที่เป็นส่วนประกอบของการจัดงาน

วันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ขอให้บุญกุศลทั้งหลาย ความตั้งใจอันเป็นกุศลทั้งหลาย ความขยันความเพียรบารมีทั้ง 30 ทัศ ที่เราทุกคนตั้งจิตตั้งใจ ขอจงส่งผลให้เราทุกคนเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นทั้งทางโลกทางธรรมด้วยเถิด

สำหรับวันนี้ก็ขอสวัสดี สัปดาห์หน้าก็คาดว่าน่าจะงด เนื่องจากอาจารย์ติดงาน

พบกันใหม่ก็ข้ามไปอีกอาทิตย์หนึ่ง

วันนี้สวัสดีครับ

ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณรัตนา

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้